ม่านประเพณี (1963) The Love Eterne
1 แผ่น เสียงไทย/ จีน
นำแสดงโดย หลินปอ,เล่อตี้
จุ๊ยิงไถ(เล่อตี้) เ ด็กสาวที่ใฝ่ฝันอยากไปเรียนหนังสือ แต่เนื่องจากในสมัยโบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีของจีนได้กำหนดห้ามไม่ให้ชายหญิงเรียนร่วมกัน ยิงไถจึงได้ปลอมตัวเป็นชาย โดยที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอก็จำเธอไม่ได้ ในที่สุดยิงไถก็ได้ไปเรียนหนังสือสมใจ ที่เทือกเขาหนีหังโจว และระหว่างเดินทาง เธอได้พบกับหนุ่มน้อย เหลียงซานเป๊าะ(หลินปอ) และเกิดถูกชะตากันขึ้น จึงได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่ผูกพันและห่วงใยกันมาก แต่ถึงแม้จะมีเงื่อนงำหลายอย่างที่เห็นได้ชัด ซานเป๊าะก็ไม่เคยเดาออกเลยว่า แท้จริงแล้ว ยิงไถเป็นผู้หญิง จนเมื่อทางบ้านของยิงไถได้ส่งจดหมายมาบอกว่า ท่านแม่ของยิงไถป่วย เธอจำใจต้องกลับ แต่ก่อนที่จะลาจาก ยิงไถก็ได้มอบหยกผีเสื้อให้กับซานเป๊าะ และขอให้เขาไปสู่ขอน้องสาวของเธอ (ซึ่งก็คือ ตัวยิงไถ นั่นเอง) โดยที่ยิงไถไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ของเธอได้ตัดสินใจยกเธอให้กับลูกเจ้าเมือง ที่มีฐานะทางครอบครัวทัดเทียมกันแล้ว สร้างความเศร้าโศกให้กับยิงไถอย่างมาก จนเมื่อซานเป๊าะมาหาเธอและรู้เรื่องนี้เข้า จึงได้ตรอมใจตายไป ส่วนยิงไถ เมื่อทราบเรื่องซานเป๊าะ ก็ได้ตามไปฆ่าตัวตายต่อหน้าหลุมฝังศพของเขา วิญญาณรักของทั้งคู่กลายเป็นผีเสื้อโบยบิน ไปสรวงสวรรค์ด้วยกัน
ม่านประเพณี หรือ Butterfly Lovers ถือเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่คลาสสิค (อาจจะเข้าขั้นเป็น ตำนาน เลยก็ว่าได้)อีกเรื่องหนึ่งของจีน และมีการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์/ละครทีวีหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งครั้งที่โด่งดังที่สุดและประสบความสำเร็จที่สุด ก็คือหนังปี 1962 เรื่อง The Love Eterne ผลงานการกำกับของหลี่ฮั่นเสียง นำแสดงโดยสองดาราสาวสวยแห่งยุค หลินปอ และ เล่อตี้ นอกจากหนังจะทำลายสถิติรายได้ของหนังชอว์บราเดอร์ส ทุกเรื่องที่ออกฉายก่อนหน้านั้นแล้ว The Love Eterne ยังอาจจะเป็นหนังชอว์บราเดอร์สเพียงเรื่อง เดียวที่สามารถคว้ารางวัลจากสถาบันภาพยนตร์ต่าง ๆ มาได้มากที่สุด คือ สิบรางวัล โดยจากการคัดเลือกเข้าประกวดภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเอเชีย หนังได้รางวัลมาสี่รางวัล คือ ภาพยนตร์สียอดเยี่ยม ,เทคนิคฝ่ายศิลป์ยอดเยี่ยม , ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และยังได้รับรางวัลม้าทองคำครั้งที่ 2 มาอีกหกรางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ,ผู้กำกับยอดเยี่ยม ,ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ,ตัดต่อยอดเยี่ยม ,ดาราฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม(เล่อตี้) และดารายอดเยี่ยมด้านศิลปะการแสดง(หลินปอ)
ม่านประเพณี เป็นเรื่องรักที่มีความพิเศษกว่าเรื่องรักอื่น ๆ ตรงที่สอดแทรกประเด็นวิพากษ์ วิจารณ์สังคมจีนไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งการที่พ่อแม่จับลูกคลุมถุงชน ,การจำกัดทางเลือกของสตรีเพศ ไปจนถึงการแบ่งแยกชนชั้น เมื่อผู้ชมได้ชมแล้ว จะรู้สึกว่าตัวเองมีชะตากรรมที่ผูกพันกับคู่พระนาง (เนื่องมาจากครอบครัวจีนสมัยก่อนหรือกระทั่งสมัยนี้ บางครอบครัวก็ยังคงมีรูปแบบประเพณีแบบนั้นจริง ๆ) จนยากที่จะอดหลงรักตัวละครในเรื่องไม่ได้เลย
ในช่วงครึ่งแรกของหนัง จะเป็นเรื่องราวความรักความผูกพันธ์วุ่น ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างตัวเอกทั้งสอง และเน้นในส่วนของการพัฒนาความสัมพันธ์ของคู่พระนาง ซึ่งก็ทำออกมาได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ยัดเยียด ทำให้หนัง(ในช่วงแรก) เต็มไปด้วยอารมณ์อันอบอุ่นและนุ่มนวล
ส่วนในช่วงครึ่งหลังนั้น อารมณ์ของหนังก็พลิกมาเป็นโศกเศร้าสะเทือนใจได้อย่างลงตัว โดยเน้นไปที่โศกนาฏกรรมความรักของเหลียงซานเป๊าะ-จุ๊ยิงไถ ทั้งฉากสนทนาตอบโต้กันด้วยบทเพลงระหว่าง คู่พระนางที่ยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง ,ฉากรำพึงรำพันที่พระเอกมีต่อนางเอก ที่ทั้งเศร้า ทั้งบีบคั้นอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงฉากจบแบบอิทธิปาฏิหารย์ที่ทำออกมาได้ขลังและคลาสสิคที่สุดในจำนวนหนัง ม่านประเพณี ทั้งหมดเลยทีเดียว
หนังมีความยาวเกือบสองชั่วโมง แต่เป็นสองชั่วโมงที่อัดแน่นด้วยความบันเทิง ถึงแม้อาจจะดูยืดยาวสำหรับผู้ชมที่ไม่ได้เป็นแฟนหนังประเภทนี้ ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับงานโปรดัคชั่นส่วนที่เหลืออื่น ๆ ของหนัง ด้วยการสร้างบรรยากาศ และการใช้ความรู้ในด้านศิลปะขั้นพื้นฐานของการทำหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาดูสวยงามยิ่งนัก โดยเห็นได้จากฉากทั้งหมดของหนัง ซึ่งดูอลังการและสวยงามอย่างที่สุด พร้อมกันนั้นก็ยังคงรักษาความเป็นโบราณไว้อย่างดี ฉากที่อยู่ตามป่าเขาล้วนเป็นฉากที่สร้างขึ้นในโรงถ่าย ได้อย่างประณีตพิถีพิถัน เครื่องแต่งกายที่สวยงาม และการสร้างบรรยากาศห้อมล้อมให้กลมกลืน กับสถานการณ์ของตัวละคร โดยเฉพาะฉาก ที่เหลียงซานเป๊าะ ส่ง จุ๊ยิงไถ สิบแปดครั้ง ฉากนี้ทำได้สวยงามที่สุดในหนังเลยทีเดียว
พร้อมกันนั้น หัวใจสำคัญอีกอย่างที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังรักอมตะก็คือ การแสดงของเหล่านักแสดงชั้นยอด ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมบทพูดและบทเพลงในหนังที่ทั้งไพเราะ และคมคายในเวลาเดียวกัน ช่วยเติมเต็มความมีมิติของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหลียงซานเป๊าะ กับ จุ๊ยิงไถ ซึ่งสองนักแสดงมากฝีมือ ต่างก็ทำหน้าที่ของตนได้อย่างยอดเยี่ยม เล่อตี้ กับการแสดงที่ดีที่สุด ในชีวิตนักแสดงของเธอ ซึ่งถ่ายทอดอารมณ์อันหลากหลายของตัวละครได้อย่างหมดจด ลึกซึ้งและซื่อตรงทุกแง่มุม เช่นเดียวกันกับหลินปอ ที่สามารถจับคู่กับเล่อตี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เหลียงซานเป๊าะกลายเป็นหนุ่มน้อย ที่ให้ความสำคัญกับความรัก และจิตใจที่จะยังคงยึดมั่นต่อคนรักตลอดไป
จุดเด่นที่สุดของหนัง คือ บทเพลงไพเราะ ที่มีให้ฟังแทบทั้งเรื่อง(ต้องเน้น แทบ เพราะเยอะจริง ๆ) เรียกได้ว่า หนังใช้วิธีการเล่าเรื่อง โดยการใช้เพลงเป็นตัวถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร แทนบทพูดกันเลยทีเดียว มีหลายเพลงที่กลายเป็นบทเพลงอมตะของชาวจีน(ถ้าไปย่านเยาวราช จะได้ยินบ่อยมาก) ทำให้ ม่านประเพณี ฉบับนี้กลายเป็นที่จดจำของผู้ชมไม่แพ้งานอมตะอีกเรื่องหนึ่งของหลี่ฮั่นเสียงที่มีเพลงคุ้นหูคนจีนเหมือนกันอย่าง จอมใจจักรพรรดิ เลย
ต้องบอกก่อนว่า The Love Eterne เป็นหนังงิ้วโอเปรา(ที่ หลี่ฮั่นเสียง กำกับ)เรื่องแรกที่ผมได้ชม เมื่อได้ชมแล้ว ผมก็เริ่มมีทัศนคติที่ดีต่อหนังงิ้วขึ้นมาในทันที(หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดที่จะดูเลย)และเริ่มกวาดซื้องานเรื่องอื่น ๆ ของหลี่ฮั่นเสียงมาดู หลี่ฮั่นเสียง เป็นผู้กำกับที่สันทัดการถ่ายทำภาพยนตร์เพลงแนวหวังเหมยเตี้ยว(หรือเรียกง่าย ๆ ว่า หนังงิ้ว นั่นเอง)และหนังด้านศิลป์ ผลงานของเขามากมายที่ได้รับการยกย่องก็มักจะเป็นหนังสองประเภทนี้ เช่น The Magnificent Concubine(แสดงนำโดย ลีลี่ ฮัว) ,Beyond The Great Wall(แสดงนำโดย หลินไต้) ,The Warlord(แสดงนำโดย ไมเคิล ฮุย) ฯลฯ
แต่หนังที่โด่งดังที่สุดของหลี่ฮั่นเสียงและทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับระดับตำนานของชอว์บราเดอร์ส ก็คือ The Love Eterne นี้เอง มีคนกล่าวว่า หลี่ฮั่นเสียง ได้รับอิทธิพลจาก ม่านประเพณี ฉบับที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ง ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับ ซังฮู ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ซังฮูใช้วิธีการเล่าเรื่องแสดงออกถึงความเรียบง่าย ในขณะที่ฉบับของหลี่ฮั่นเสียง แสดงออกถึงรสชาติ และแสดงให้เห็นถึงความรักของหนุ่มสาวที่ได้รับความกดดันจากประเพณีเก่าแก่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับขนบประเพณี
จะอย่างไรก็ตาม หลี่ฮั่นเสียง ก็ได้รับการยกย่องว่า กำกับหนังเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้ The Love Eterne ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในหนังรักที่งดงามและมีความเพียบพร้อมทางด้านศิลปะมากที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมา